ช่วงนี้ผมทำงานอยู่ชิ้นนึงครับ เป็นเรื่องการวางแผนพัฒนาพนักงานโดยแยกตามประเภทความเป็น “คนเก่ง” คนเก่งแต่ละแบบต้องการการพัฒนาไม่เหมือนกัน ไอ้ที่จะส่งไปเข้าคอร์สเหมือนๆ กัน ดูจะไม่เป็นที่นิยมสักเท่าไหร่แล้ว ระหว่างการทำ...งานมโนก็มา....เอ่...ถ้าเป็นคนแบบนี้จะพัฒนาแบบไหนนะ...ถ้าเก่งด้านนี้ควรทำอย่างงั้น...ถ้ามีจุดอ่อนด้านนั้นต้องทำอย่างงี้ บลา..บลา...บลา... ระหว่างมโนก็มีเรื่องนึงแว่ปเข้ามา เป็นเรื่องของรุ่นน้องผมคนหนึ่งครับ ................................................ เราคงจะได้ยินคำพูดที่ว่า “ให้ก้าวออกจากสิ่งที่คุ้นเคย หรือ comfort zone เพื่อเจอสิ่งใหม่ ๆ และพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นกว่าเดิม” บ่อยมาก ๆ แต่การก้าวออกจาก comfort zone เนี่ยมันไม่ง่ายเลย เพราะตอนนี้เรากำลังพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่แล้ว การก้าวออกไปก็อาจทำให้เราต้องเจอกับปัญหา และสิ่งที่ทำให้เป็นทุกข์ได้ เพราะฉะนั้นผมว่าผมค่อนข้างชื่นชมคนที่กล้าก้าวออกจาก comfort zone นะครับ และรุ่นน้องผมก็เป็นหนึ่งในนั้นครับ เขาเป็นคนที่ผมนึกถึงทันทีที่ได้ดูหนังเรื่อง “ไอฟาย แต๊งกิ้ว เลิฟยู้” เป็นหนังไทยของค่าย GTH (อีกแล้ว) เขาเป็นคนที่ไม่เก่งภาษาอังกฤษ (เรียกว่าไม่ได้เรื่องเลยก็ได้ครับ) เท่าที่เค้าเล่าให้ฟัง ไม่รู้เป็นความฝังใจอะไรของเด็ก ๆ สายวิทย์หรือเปล่าที่มักจะไม่สนใจเรื่องภาษา พอโตขึ้นมาก็กลายเป็นคนไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษ แถมยังไปเจอครูสอนภาษาอังกฤษที่สอนแบบขอไปทีด้วย ยิ่งทำให้เขายิ่งกลัวภาษาอังกฤษ (นั่น..โทษครูซะอีก) พอกลัวก็ไม่ฝึก พอไม่ฝึกก็กลายเป็นว่าไม่ได้ภาษาอังกฤษไปเลย ตอนแรกน้องผมก็ไม่อะไรกับการไม่ได้ภาษาอังกฤษหรอกครับ เพราะเขาก็ได้งานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ได้เป็นมนุษย์เงินเดือนที่มีเงินใช้ทุกเดือนแล้ว และที่ทำให้ผมนึกถึงเขาเวลาดูหนัง “ไอฟาย แต๊งกิ้ว” ก็เพราะเขาเป็นวิศวกรแบบเดียวกับพระเอกของเรื่องด้วยครับ แต่พอนานวันเข้า นานวันเข้า...เขาก็เริ่มรู้ว่าภาษาอังกฤษเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ๆ เพราะกลายเป็นว่างานที่ทำอยู่ต้องใช้ภาษาอังกฤษด้วย พอสื่อสารไม่ได้ ใช้ไม่เป็น เขาก็เริ่มซัฟเฟอร์ ดังนั้นเขาจึงเริ่มหาวิธีเรียนภาษาอังกฤษ เขาลองไปเทคคอร์สภาษาอังกฤษของสถาบันสอนภาษาดู ผ่านไป 3 เดือนจนเรียนจบคอร์ส แต่ว่าเขาก็ยังไม่มีความมั่นใจในการใช้ภาษาอังกฤษเลย เขาบอกว่าก็ยังกลัวที่จะพูด อยากจะพูดก็ยังนึกศัพท์ไม่ออก เรียบเรียงประโยคไม่ถูกอยู่ดี แล้วพอไม่พูด ทุกอย่างก็ย้อนกลับไปจุดเดิม... ผมงี้เสียดายแทนเลย แล้วจะไปลงคอร์สเรียนทำไมให้เสียเงินเปล่า ๆ “แล้วถ้าไปเรียนภาษาอังกฤษที่ต่างประเทศล่ะ? ไปอยู่ในที่ ๆ คนรอบข้างใช้ภาษาอังกฤษ จะได้กล้าพูด เพราะถ้าไม่พูด ก็คงอยู่ไม่ได้หรอก” มีคนแนะนำว่า “ไม่ต้องไปถึงอังกฤษหรืออเมริกาหรอก ออสเตรเลียเนี่ยใกล้สุดแล้ว ดีด้วย” เป็นคำแนะนำที่ดีนะครับ แต่ติดอยู่ที่ว่าน้องผมกล้าพอไหม รวมไปถึงเรื่องของสถานภาพทางการเงินด้วย เป็นโชคดีของเขาครับที่พอมีเงินเก็บจากการทำงานประจำ และที่บ้านก็พอสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเรียนได้ แต่ก็นั่นล่ะครับ ยังเหลือด่านสุดท้ายก็คือ...เขาต้องเป็นคนตัดสินใจ ผมเข้าใจนะว่าตัดสินใจยาก เพราะการไปเรียนภาษาที่ออสเตรเลียนั้นหมายความว่า เขาต้องลาออกจากงานประจำไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย ต้องพูดภาษาของชาติอื่นที่ตัวเองแทบพูดไม่ได้เลย แถมยังต้องไปคนเดียวด้วย ประสบการณ์ไปต่างประเทศก็ไม่ค่อยมีอีกต่างหาก และกลับมาก็ไม่รู้ว่าจะหางานได้ไหม เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่ยาก เพราะต้องก้าวออกจากพื้นที่ปลอดภัยของตัวเองจริง ๆ น้องผมก็คิดอยู่หลายวันครับ แล้วก็ขอความเห็นจากเพื่อน ๆ หลายคนด้วย รวมไปถึงครอบครัว ซึ่งพวกเขาก็สนับสนุนเป็นอย่างดี เพราะเห็นว่าเป็นโอกาสที่จะพัฒนาตัวเอง และงานที่ทำอยู่ตอนนี้ก็ไม่ใช่งานที่ชอบจริง ๆ อยู่แล้ว “ไปโลด รออะไรอยู่!” จนในที่สุดเขาก็ตัดสินใจลาออกจากงาน และเดินทางไปออสเตรเลียครับ เอ้า ปรบมือให้ดัง ๆ หน่อย! แล้วน้องผมกลับมาหลังจากนั้น 6 เดือน เป็นน้องผมคนเดิม แต่ไม่กลัวการพูดภาษาอังกฤษอีกต่อไป...เย้ ถ้าวัดความสำเร็จของการไปออสเตรเลียคราวนี้ ที่ “ความกล้า” พูดภาษาอังกฤษล่ะก็ เป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่จริงๆ ครับ แต่ส่วนตัวนะ ผมว่า “ความกล้า” กับ “ความเก่ง” นี่มันเป็นคนละเรื่องจริงๆ เพราะในใจแอบคิดว่า ถ้าไปออสเตรเลีย 6 เดือน แล้วได้แค่นี้ เปลี่ยนเป็นไปอยู่ถนนข้าวสารซักปีน่าจะดีกว่า ถูกกว่ากันเยอะเลย...ฮ่า ๆ ๆ ใช่ครับ มีความกล้า แต่ภาษาก็ยังแย่อยู่ดี เรื่องการเรียนภาษานี่มีใครเคยสงสัยไหมว่าทำไมบางคนพยายามเท่าไหร่ก็ได้แค่พอประมาณ ในขณะที่บางคนแค่ใช้เวลาไม่นานก็คล่องปรื๋อเหมือนเจ้าของภาษา แถมไม่ใช่ภาษาเดียวซะอีก หลายครั้งที่ผมไปเดินตามห้างแถวราชดำริ มีพรีเซนเตอร์สาวสวยกำลังพูดแนะนำสินค้าด้วยภาษาไทยอยู่ดีๆ แป๊ปเดียวเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงเป๊ะ สักพักภาษาจีนก็มา...แม่เจ้า!!! แค่สวยก็แย่แล้ว นี่จะเก่งไปไหน จะว่าไปก็ไม่ใช่แค่เรื่องภาษาหรอก ทุกเรื่องนั้นแหละ ที่คนเรามี “โซนเก่ง” ของตัวเอง คนเราเกิดมาเพื่อเป็นอะไรบางอย่าง ทำอะไรบางอย่าง เก่งอะไรบางอย่าง บางคนเก่งภาษา บางคนเก่งเลข บางคนเก่งกีฬา การออกนอก Comfort Zone ก็มีข้อควรระวังที่อาจไม่ใช่การออกไปนอกโซนที่ตัวเองทำได้ดี แต่เป็นการออกไปเพื่อให้รู้ว่าเราทำอะไรได้ไม่ดี และพัฒนาไม่ให้มันเป็นจุดอ่อนที่ร้ายแรงนัก อย่างรุ่นน้องผมที่เล่าให้ฟัง แม้จะยังพูดภาษาอังกฤษได้ไม่สวยหรู แต่การออกนอก Comfort Zone ก็ทำให้ตัวเองกล้าพูดขึ้นมาแล้ว เปลี่ยนจากจุดอ่อนมาอยู่ในระดับพอใช้ได้ แม้ไม่ใช่ “จุดแข็ง” แต่ก็ไม่เป็น “จุดตาย” เมื่อรู้แล้วก็หันกลับมาพัฒนาโซนที่เราทำได้ดี แล้วออกจากโซนต่ำ ไปสู่โซนที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จากเก่งธรรมดา ไปสู่การเป็นเซียน เป็นเทพด้านนั้นๆ คนที่ประสบความสำเร็จจริงๆ จึงมักจะเป็นคนที่รู้ว่า ตัวเองเกิดมาเพื่อทำอะไรกันแน่ และ “พยายาม” ทำสิ่งนั้นจน “สำเร็จ” นั่นแหละ (เอาไว้มาเล่าเรื่องนี้ตอนต่อไป) .............................................
0 Comments
Leave a Reply. |
AuthorSaksit Sathanapong, Ph.D. ArchivesCategoriesSTORY TELLING PROJECT รวบรวมแนวคิดจากหนังสือ "ตั้งสติ ให้สตรอง..อย่าไว้ใจสมองของคุณ" มาจับประเด็นกับเรื่องราวจริงที่ทุกคนอาจเจอได้ในชีวิตประจำวัน หรือแม้แต่เกิดกับตัวเอง เรื่องที่ 1 งานหนักไม่เคยทำให้ใครตาย...จริงดิ เรื่องที่ 2 ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น (นั้นไม่จริงเสมอไป) เรื่องที่ 3 นิทานก่อนนอน-ประตูและป่าแห่งความลังเล เรื่องที่ 4 วิ่งหายเจ็บใจ เรื่องที่ 5 อะไรที่ 'เติมไฟ' ให้เรา เรืองที่ 6 อะไรที่ 'เติมไฟ' ให้เรา (ตอนที่ 2) เรื่องที่ 7 อะไรที่ 'เติมไฟ' ให้เรา (ตอนที่ 3) เรื่องที่ 8 ปัญหาของความ 'ไม่เครียด' เรื่องที่ 9 เรามาถึงจุดนี้ได้ไง เรื่องที่ 10 อัจฉริยะ กับ ความบ้า เรื่องที่ 11 แก้ความเครียดด้วย WTF เรื่องที่ 12 ด้านลบ ของการ 'คิดบวก' เรื่องที่ 13 ปัญหาชีวิต แก้ด้วยการ 'คิดลบ' เรื่องที่ 14 'ชอลิ้วเฮียง' ในมุมที่ไม่เคยคิดถึง เรื่องที่ 15 Keystone Habits:วันนี้คุณทำกุศลหรือยัง แล้วติตตาม update กันเรืื่อยๆ นะครับ |