“งานหนักไม่เคยทำให้ใครตาย” จริงดิ?? แต่ปีนี้ (2019) องค์การอนามัยโลกรับรอง “ภาวะหมดไฟในการทำงาน (Burnout)” เป็นโรคชนิดหนึ่ง แล้วนะ!!! โรคนี้สามารถพัฒนาเป็นโรคซึมเศร้าจนอาจฆ่าตัวตายได้เลย “ภาวะหมดไฟ" กลายเป็นอาการป่วยชนิดหนึ่งไปแล้ว เมื่อองค์การอนามัยโลก หรือ WHO จัดให้โรคเบิร์นเอาต์ (burnout) หรือภาวะหมดไฟในการทำงาน เป็นโรคประเภทหนึ่งที่ต้องรับการรักษาทางการแพทย์ โรคนี้ก็เกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยเฉพาะจากการสะสมความเครียดจากการทำงานมาเป็นระยะเวลานาน แต่ความเครียดก็ไม่ใช่ตัวการเสมอไปหรอกนะ บางครั้งความ “ไม่เครียด” ก็เป็นสาเหตุ (พูดเป็นเล่น) จะว่าไปความเครียดนี่ก็เป็นเรื่องปกตินะ หลายครั้งก็เป็นประโยชน์ แต่ที่เป็นโทษคือการ “สะสม” ของความเครียดต่างหาก เรื่องนี้ถ้าจะให้พูดก็ยาวเป็นมหากาพย์ได้เลย เอาไว้วันหลังค่อยมาต่อละกันนะครับ วันนี้แค่จะเล่าเรื่องที่นึกถึงขึ้นมาตอนที่ได้ข่าวเรื่องเบิร์นเอาต์นี่แหละครับ เป็นเรื่องของเพื่อนผมคนหนึ่ง เธอมีลูกสาววัยจบการศึกษาเพิ่งเริ่มทำงาน แล้วก็ตามประสาพ่อแม่สมัยนี้ ที่มีเรื่องสารพัดของลูกที่เข้าใจยากซะจริง พวกพ่อแม่มาเจอกันทีก็ไม่มีอะไรมาก นินทาลูกนั่นแหละ มีครั้งหนึ่งแทนที่คุณเพื่อนเธอจะนินทาลูกเหมือนก่อน กลับออกแนวกังวล เธอเล่าว่าลูกสาวเป็นคนออกแนวเก็บตัว (ศัพท์จิตวิทยาเค้าเรียก Introvert) ชอบใช้ความคิดคนเดียว เวลาเครียดก็เครียดคนเดียวไม่ค่อยบอกใคร และเรื่องก็เกิดจากที่ลูกสาวได้งานแรกเป็นผู้ตรวจสอบบัญชี (น้องจบบัญชี เกรดดีมากด้วย) ผมขอเรียกว่า “ออดิท” ก็แล้วกัน ขึ้นชื่่อว่าทำงาน “ออดิท” แล้ว ไม่มีทางที่จะเป็นงานเบา ๆ ชิล ๆ แต่เป็นงานที่หนักมาก เข้างานเช้า เลิกงานดึก บางทีเลิกงานเช้าก็มี...ฟังแล้วไม่น่าเป็นงานที่น่าทำเลยเนอะ แต่ขอโทษ!! ถ้าเป็นองค์กรที่มีชื่อเสียงระดับโลก ที่ในวงการเค้าเรียกกันว่า “Big 4” ล่ะก็ นับเป็นงานที่คนในสายงานบัญชีใฝ่ฝันอยากทำกันไม่น้อยเลยทีเดียว แบบว่าประวัติการทำงานแบบนี้ เป็นใบรับประกันได้ดีกว่าปริญญาไหนๆ เลย ตอนแรกเพื่อนผมก็ไม่คิดหรอกว่างานที่ลูกสาวทำจะหนักแบบเสียงลือเสียงเล่าอ้างพวกนั้น แต่ปรากฏว่ามันหนักอย่างที่เขาล่ำลือกันจริง ๆ ครับ บางวันน้องก็กลับถึงบ้าน 4 ทุ่ม บางทีก็ 5 ทุ่มจนเลยไปเที่ยงคืนก็มี เห็นน้องว่าช่วงงานเร่งๆ พี่ ๆ บางคนกลับตี 2 เลยก็มี... และบางสัปดาห์ก็ไปออกจ๊อบต่างจังหวัด 2-3 วัน เรียกได้ว่าอยู่ออฟฟิศมากกว่าอยู่บ้านก็ได้ แล้วเพื่อนผมก็เริ่มสังเกตว่าน้องยิ้มน้อยลง พูดน้อยลง พอกลับถึงบ้านปุ๊บก็ตรงดิ่งขึ้นห้องปั๊บ ปิดประตูเงียบ ไม่พูดกับใครเลย พอวันเสาร์อาทิตย์ก็ตื่นสายโด่งปาไปเกือบเที่ยง ตอนบ่ายวันเสาร์ก็ดูร่าเริงดีอยู่หรอก แต่พอบ่ายวันอาทิตย์ก็เริ่มหดหู่ พอตกค่ำก็ห่อเหี่ยวไปเลย... ตอนแรกก็เข้าใจว่าเหนื่อยและอยากพักผ่อน แต่พอผ่านไปนานเข้าหลายเดือน จนครอบครัวเพื่อนผมเริ่มแบบ “เอ...แบบนี้ไม่เข้าท่าแล้วนะ” เพื่อนบอกว่าน้องเคยบ่น “ไม่อยากเป็นออดิทหรอก แต่ก็จบบัญชีมา จะทำอะไรได้อีกล่ะคะนอกจากออดิทกับบัญชี?” อืม...ตอบยากแฮะ ผมเชื่อว่ามีวิธีเปลี่ยนสายอาชีพอยู่นะ แต่ว่าตอนนั้นผมคิดว่าน้องคงมืดมนสุด ๆ แล้ว ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี มองอนาคตไปก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีขึ้น งานที่ทำอยู่ก็ดันเป็นงานดีที่หลายๆ คนใฝ่ฝันซะอีก จะลาออกก็น่าเสียดาย จนกระทั่งวันหนึ่งที่น้องได้คุยกับคุณแม่ (เพื่อนผมน่ะแหละ) คุณแม่เป็นห่วงน้องมากครับ เพราะจากที่น้องเป็นคนเงียบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนนี้เงียบเป็นเป่าสากยิ่งกว่าป่าช้า เธอกลัวว่าน้องจะเป็นโรคซึมเศร้า (ตอนนี้คุณแม่คงรู้จัก “เบิร์นเอาต์” แล้วล่ะ) เลยคุยกับน้องว่าให้เปลี่ยนงานดีไหม? เหมือนปลดล๊อกครับ!! น้องค่อนข้างแปลกใจ เพราะที่ทนรับสภาพอยู่ก็เพราะแคร์คนรอบข้างโดยเฉพาะคุณแม่ที่ภูมิใจมากที่เธอได้ทำงานในองค์กรใหญ่มีชื่อเสียง หลังจากนั้นก็เหมือนทุกอย่างเริ่มดีขึ้น น้องดูร่าเริงขึ้นและยิ้มมากขึ้น น้องมาคุยกับคุณแม่ว่า “หนูไม่อยากทำออดิทแล้ว หนูอยากพัฒนาภาษาอังกฤษ แล้วก็ไปสมัครเป็นแอร์โฮสเตส ถ้าได้เป็นแล้วจะก็จะมีเงินเก็บเยอะ ๆ หนูจะเอามาใช้คืนแม่ แล้วก็เอาเงินก้อนนี้ไปเรียนต่อ” มีเหรอครับที่เพื่อนผมจะไม่ยอม? แม่ก็คือแม่ ยิ่งแม่สมัยนี้ยังไงลูกก็ต้องมาก่อน เพราะสุขภาพของน้องทั้งร่างกายและจิตใจดูจะย่ำแย่เอามาก ๆ เพื่อนผมบอกว่าพอน้องปลดล๊อกได้ก็ดูสดใสขึ้นมาก และเธอก็ตั้งใจเรียนภาษารวมถึงสมัครเป็นแอร์โฮสเตสมากจริง ๆ ผมก็ดีใจกับเพื่อนด้วยครับ เพราะเธอเองก็เป็นกังวลเรื่องลูกสาวของเธอมากๆ เหมือนกัน แต่มีคำถามหนึ่งผมอยากรู้มากเลย ผมก็เลยถามออกไป “แล้วถ้าไม่ได้เป็นแอร์ฯ ล่ะ? จะทำยังไง?” “ก็...ทำอาชีพอื่น อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ออดิท!” โอเคครับ ชัดเจน .................................... Burnout เป็นเรื่องของ “คุณค่า” ไม่ใช่ “ปริมาณ” .................................................. รู้จัก Too Fast To Sleep ไหมครับ Too Fast To Sleep เป็นคาเฟ่ที่เปิด 24 ชม. ไม่จำกัดเวลานั่ง เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของคนที่ต้องนอนดึก ทำงานดึก อ่านหนังสือดึกๆ นั่นเอง มีบริการครบวงจรทั้งน้ำ ขนม นม หนังสือ และที่ขาดไม่ได้คือ กาแฟ และ wifi ที่ตั้งของร้านนี้เริ่มจากแถวสามย่าน แล้วกระจายไปตามแหล่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ศาลายา เกษตร สยาม ฯลฯ ตอนนี้เห็นว่ามี 8 สาขาแล้ว ดูจากที่ตั้งคงพอเดาออกใช่ไหมครับว่ากลุ่มเป้าหมายใหญ่ก็คือเด็กมหา’ลัย นั่นเอง Too Fast To Sleep คงเห็นโอกาสจากที่เดี๋ยวนี้เวลาเราไปห้างสรรพสินค้า เดินผ่านร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดอย่าง แมคโดนัลล์ หรือเคเอฟซี หรือคาเฟ่ที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ก็จะเห็นเด็กนักเรียน และเด็กมหาวิทยาลัยขนงาน ขนหนังสือมานั่งทำนั่งอ่านกันจนเต็มพื้นที่ บางคนก็พกมาไม่กี่อย่าง บางคนก็เหมือนขนบ้านมาทั้งหลังเลยครับ ผมเดานะว่าจะต้องมีคนกำลังปั่นงานจนไฟลุกเพื่อส่งวันรุ่งขึ้นแน่นอน แล้วทำไมไม่ทำที่บ้าน ??? ก็เพราะมันไม่ใช่งานเดี่ยวน่ะสิครับ มันเป็นงานกลุ่ม เลยต้องมีที่รวมกลุ่มกันปั่นงาน ซึ่งจริงๆ แล้วงานกลุ่ม 4-5 คน จะมีคนปั่นจริงๆ อยู่แค่ 1-2 คน เท่านั้นแหละ คนที่เหลือถ้าดีหน่อยก็ส่งข้าวส่งน้ำ รองลงมาก็ให้กำลังใจ ประเภทไม่ช่วยแล้วยังเป็นตัวถ่วงด้วยนี่เยอะครับ หน้าเดิมๆ ทั้งนั้น ไม่รู้รับมันมาเข้ากลุ่มทำไม เรื่องปั่นงานส่งอาจารย์นี่คงเป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่คน Gen X อย่างผม พอจะเข้าใจเด็ก Gen Z ได้แบบไม่ต้องอธิบายมาก เรียกว่าเป็นประสบการณ์จากรุ่นสู่รุ่น ตอนเรียนหนังสือบางทีก็ไม่เข้าใจว่าทำไมอาจารย์ถึงได้สั่งงานมากมายขนาดนี้ สั่งกันเก่งเหลือเกิน ประเด็นก็คือไม่ใช่แค่วิชาเดียว แต่เล่นสั่งตู้ม ๆ มาหลายวิชาเลย แถมส่วนใหญก็มีกำหนดส่งวันเดียวกันด้วย... ซึ่งไอ้ที่ส่งวันเดียวกันก็ไม่ใช่อะไรหรอกครับ...อาจารย์สั่งงานตั้งแต่ต้นเทอม แล้วกำหนดส่งปลายเทอมเหมือนกัน แหะ..แหะ..มีเวลาทำตั้งเทอม แต่มาทำตอนใกล้ส่ง มีความเครียดเป็นตัวผลักดันแบบนี้ ไอ้ที่เคยคิดไม่ออกเขียนไม่ได้ ตอนนี้ไอเดียพรั่งพรูครับ รวดเดียวถึงเช้า มีงานส่งแบบเฉียดฉิว คนอีกกลุ่มนึงที่ใช้คาเฟ่เป็นที่ทำงานก็คือ ฟรีแลนซ์ หรือ มืออาชีพอิสระนั่นเอง ผมเคยอิจฉาไลฟ์สไตล์ของฟรีแลนซ์มากเลย เห็นภาพความอิสระ จะทำงานตอนไหนก็ได้ ไม่ต้องตาลีตาเหลือกตื่นตีห้า เพื่อเข้างานแปดโมง อยากไปเที่ยวก็ไม่ต้องรอวันหยุด แต่นั่นคือภาพด้านเดียว ส่วนด้านมืดก็คืองานด่วน deadline ลูกค้าจู้จี้ แก้งาน แก้แล้วแก้อีก คู่แข่งก็เยอะ ไอ้ที่บอกว่าทำงานตอนไหนก็ได้ก็เลยจริง เพราะทำตลอดเวลา ส่วนที่ว่าอยากเที่ยวไม่ต้องรอวันหยุดก็จริง เพราะไม่มีวันหยุด ใครเคยดูหนังเรื่อง “ฟรีแลนซ์ – ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ” คงเห็นภาพนะครับ แต่สำหรับฟรีแสนซ์ งานหนักไม่เครียดเท่างานไม่หนักครับ เพราะไม่มีอะไรรับประกันความอยู่รอดได้เท่าปริมาณงาน "งานเข้า" คือสวรรค์ งานไม่เข้าคือนรก ไม่เหมือนมนุษย์เงินเดือนนี่ครับ ที่จะงานมากหรืองานน้อย ยังไงก็มีเงินเดือนเป็นตัวประกันอยู่ ลดเงินเดือนก็ยาก ไล่ออกก็ยาก เพราะมีกฎหมายคุ้มครอง เพราะฉะนั้นสำหรับฟรีแลนซ์แล้วการทำงานหามรุ่งหามค่ำจึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะมีปัญหาใหญ่กว่าคือ “ความอยู่รอด” เป็นตัวผลักดัน อีกกลุ่มนึงครับที่งานหนักไม่ใช่ปัญหาแม้แต่น้อย เพราะเค้ามีความฝันครับ ถึงตอนนี้ คำว่า “สตาร์ทอัพ” คงเป็นที่รู้จักกันมากแล้ว พวกเค้าคือผู้ประกอบการที่กำลังสร้างโมเดลธุรกิจที่แตกต่างไปจากธุรกิจในอดีต และมักจะมีการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการสร้างธุรกิจด้วย พูดถึงเทคโนโลยีก็คงหนีไม่พ้นเทคโนโลยีด้าน ICT ที่มีสตีฟ จ๊อบส์ เป็นไอดอล น่ะแหละครับ เคยมีความฝันที่ชัดเจนแล้วกระโดดลงไปเพื่อทำความฝันให้เป็นจริงไหมครับ ถ้าเคยคงรู้ว่าเส้นทางไปสู่ความฝันมันไม่เหนื่อยครับ หนักน่ะหนักแน่ การทำธุรกิจที่เน้นการสร้างสิ่งใหม่ๆ ไม่เคยรู้มาก่อนว่าต้องทำยังไง ต้องลองผิดลองถูก (ซึ่งมักจะผิดมากกว่าถูก) มันไม่มีทางสบายไปได้เลย แต่สิ่งที่เป็นตัวผลักดันคือ ความฝัน และ ความหวัง ครับ “Where there's hope, there's life. It fills us with fresh courage and makes us strong again.” ― Anne Frank, The Diary of a Young Girl. “ที่ใดมีความหวังที่นั่นมีชีวิต มันเติมความกล้าและทำให้เราเข้มแข็งขึ้นอีกครั้ง” ผมไม่ได้กล่าว แต่ลอก แอน แฟร้งค์ มา สำหรับชาวสตาร์ทอัพ “Where there’s hope there’s trials” อันนี้ผมก็ไม่ได้กล่าว แต่ Haruki Murakami เขียนไว้
"Work life balance ใช้ได้กับคนที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจแล้วเท่านั้น ถ้าคุณพึ่งเริ่มต้นทำธุรกิจ คุณต้องใช้แรงไปให้เต็ม 100% ถ้าทำงานประจำด้วย คุณต้องใส่ไป 200% ห้ามใส่ไป 50 50" - ท็อป ณัฐบดินทร์
0 Comments
Leave a Reply. |
AuthorSaksit Sathanapong, Ph.D. ArchivesCategoriesเรื่องที่ 7 อะไรที่ 'เติมไฟ' ให้เรา (ตอนที่ 3)เรื่อSTORY TELLING PROJECT
รวบรวมแนวคิดจากหนังสือ "ตั้งสติ ให้สตรอง..อย่าไว้ใจสมองของคุณ" มาจับประเด็นกับเรื่องราวจริงที่ทุกคนอาจเจอได้ในชีวิตประจำวัน หรือแม้แต่เกิดกับตัวเอง เรื่องที่ 1 งานหนักไม่เคยทำให้ใครตาย...จริงดิ เรื่องที่ 2 ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น (นั้นไม่จริงเสมอไป) เรื่องที่ 3 นิทานก่อนนอน-ประตูและป่าแห่งความลังเล เรื่องที่ 4 วิ่งหายเจ็บใจ เรื่องที่ 5 อะไรที่ 'เติมไฟ' ให้เรา เรืองที่ 6 อะไรที่ 'เติมไฟ' ให้เรา (ตอนที่ 2) เรื่องที่ 7 อะไรที่ 'เติมไฟ' ให้เรา (ตอนที่ 3) เรื่องที่ 8 ปัญหาของความ 'ไม่เครียด' เรื่องที่ 9 เรามาถึงจุดนี้ได้ไง เรื่องที่ 10 อัจฉริยะ กับ ความบ้า เรื่องที่ 11 แก้ความเครียดด้วย WTF เรื่องที่ 12 ด้านลบ ของการ 'คิดบวก' เรื่องที่ 13 ปัญหาชีวิต แก้ด้วยการ 'คิดลบ' เรื่องที่ 14 'ชอลิ้วเฮียง' ในมุมที่ไม่เคยคิดถึง เรื่องที่ 15 Keystone Habits:วันนี้คุณทำกุศลหรือยัง แล้วติตตาม update กันเรืื่อยๆ นะครับ |