อะไรที่ 'เติมไฟ' ให้เรา (ตอนที่ 3)
“หากหัวใจของผู้ใดตายแล้ว มีเพียงสองวิธีเท่านั้นที่จะสามารถบันดาลให้มันฟื้นคืนมาได้
หนึ่งคือความรัก หนึ่งคือความแค้น“ วันนี้เปิดด้วยสำนวนกำลังภายในครับ จากเรื่องฤทธิ์มีดสั้น ของโกวเล้ง น่าจะจริงอย่างที่โกวเล้งว่าไว้นะครับ ความรักและความแค้นช่วยให้หัวใจที่ตายแล้วกลับมามีไฟลุกโชนอีกครั้ง จะเป็นไฟรักหรือไฟแค้นก็เถอะ แต่ผมอยากเพิ่มอีกอย่างนึง ‘ความเครียด’ ครับ ใครว่าความเครียดไม่ดี ความเครียดนี่แหละ ตัวเติมไฟชั้นดีเลยล่ะ ...................................................... ถ้าให้ผมประเมินว่าในชีวิตที่ผ่านมา งานไหนที่ผมรู้สึกท้อแท้เกือบจะยอมแพ้มากที่สุด ผมยกให้การเรียนปริญญาเอกมาเป็นอันดับต้นๆ โดยเฉพาะตอนทำวิทยานิพนธ์หรือ Dissertation นี่แหละครับ มาอันดับหนึ่งแบบไร้คู่แข่งกันไปเลย ทำไมถึงน่าท้อแท้ ก็เพราะมันกินพลังมาก ทำไปทำไมก็ไม่รู้ ผลตอบแทนแทบไม่ได้อะไร เป็นความภูมิใจล้วนๆ แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่ผมเริ่มท้อเอาตอนที่มาได้เกินครึ่งทางแล้ว ’the point of no return’ การจะทิ้งตอนนั้นมันตรงกับคำพูดนี้เลยครับ . “At some point, the pain of not doing it becomes greater than the pain of doing it” “ถึงจุดหนึ่ง ความเจ็บปวดที่ไม่ได้ทำ มันยิ่งกว่าความเจ็บปวดที่ต้องทำซะอีก” . ทำต่อมันท้อก็จริง แต่พอนึกถึงว่าถ้าทิ้งไปง่ายๆ หลังจากนี้ตลอดชีวิตเราต้องเจ็บจี๊ดทุกครั้งเวลาที่นึกถึง...มันไม่คุ้มเอาซะเลย ดังนั้นมาถึงจุดนี้แล้วก็ต้องลุยต่อปาย...... การเรียนปริญญาเอกที่ว่าใช้พลังมากก็เพราะมันต่างจากการเรียนระดับที่ผ่านๆ มา ก่อนหน้านี้ภาระส่วนใหญ่คือการเรียนในห้องเรียนเป็นหลัก แต่ภาระของปริญญาเอกเริ่มจากในห้อง ออกไปนอกห้อง แล้วกลับมาในห้องอีกที เป็นวงจรอุบาทว์แลยล่ะครับ ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะระดับนี้ไม่ใช่แค่เรียนเพื่อรู้ แต่เรียนเพื่อที่จะเป็นผู้สร้างองค์ความรู้และสอนคนอื่นได้ด้วย ในห้องเรียนจึงเริ่มจากการเป็นที่รับโจทย์ครับ ความรู้ต้องไปหาเอาเองนอกห้อง แล้วเอาความรู้ที่ได้มาแชร์ให้คนอื่นในห้องอีกที โดยอาจารย์ไม่ได้เน้นการให้ความรู้ แต่แนะนำวิธีหาความรู้มากกว่า และเนื่องจากสาขาที่ผมเรียน (Counseling Psychology) เป็นวิชาชีพที่มีมาตรฐานบังคับไว้ค่อนข้างสูงทีเดียว ในเมืองไทยอาจจะยังไม่ชัดเจนนัก จึงต้องใช้ของต่างประเทศ คือ American Psychological Association หรือ APA ซึ่งโหดเอาเรื่อง งานเข้าสิครับ เอาความรู้ห่วยๆ ไปแชร์คงไม่ได้การ ยังไงก็ต้องรักษาหน้าตัวเองไว้ด้วย แต่เวลาได้งานมามักจะเกิดสถานการณ์นี้ครับ เออ...ยังมีเวลาอีกสักพัก ตอนนี้ยังคิดไม่ออก ไม่ได้เรียนเต็มเวลาด้วย งานประจำก็มี งานเรียนเก็บไว้ก่อนละกัน เฮ้...ลืมอะไรไปหรือเปล่า...แต่ละเทอมไม่ได้เรียนวิชาเดียวนะ วันถัดไป...ได้งานอีกชิ้นหนึ่งมา “เอาไว้วันหลังก็แล้วกัน ปั่นทีเดียวจบครบทุกงาน” วันถัดไปอีก...ได้งานมาอีกเข่นกัน มารู้สึกตัวอีกทีก็ปรากฏว่าพรุ่งนี้คือวันส่งงานแล้ว! ผมนั่งมองกองงานงานที่ดองไว้นานมาก ดังนั้นผมเหลือทางเลือกเดียวก็คือ ต้องตาหลีกตาเหลือกทำให้เสร็จ!!! ถึงตอนนี้ ‘ความเครียด’ เข้ามาทำหน้าที่แล้วครับ อะดรีนาลีนพุ่งปรี๊ด พลังซ่อนเร้นระเบิด สมองสั่งให้พุ่งสมาธิมาที่เรื่องเดียว สรุปก็คือ...ไอ้ที่เคยคิดไม่ออก เขียนไม่ได้ ตอนนี้พรั่งพรูแลยครับ งานทั้งหมดเคลียร์เสร็จตอนตี 3 เห็นมั๊ยล่ะ ความเครียดมีประโยชน์ (จะตาย) แต่นั่นมันเรื่องปกติไปเลยครับ เมื่อมาถึงเวลาของ Dissertation หรือวิทยานิพนธ์ ซึ่งเอาไว้จะมาเล่าอีกที ตอนนี้ขอชวนมาดูประโยชน์ของความเครียดกันก่อน . . ธรรมชาติสร้างความเครียดขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์ที่สำคัญที่สุดของสิ่งมีชีวิต ครับ นั่นคือ ‘ความอยู่รอด’ และ ‘การพัฒนา’ ไม่มีความเครียด ไม่มีการพัฒนา การพัฒนาทั้งหมดในโลกนี้มาจากความเครียดเพื่อความอยู่รอดทั้งนั้นเลยครับ ลองนึกดูดีๆ ทุกๆ วัน เราทำสิ่งต่างๆ ด้วยแรงผลักดันของอะไรมากกว่ากัน ความรัก หรือ ความเครียด ตื่นขึ้นมารับเช้าวันจันทร์ด้วยความสดชื่น (หรา???) ออกไปผจญภัยบนท้องถนน ถึงที่ทำงานพบกองงานที่บางอย่างก็อยากทำบางอย่างก็ไม่อยากทำ เจอผู้คนที่บางคนอยากเจอบางคนก็ไม่อยากเจอ มีปัญหาให้แก้ มีอุปสรรคให้ข้าม บางคืนหลับไปพร้อมปัญหาที่แก้ไม่ตก ดูไปแล้ว ความเครียดล้วนๆ ครับ หาความรักยากเต็มที แล้วความเครียดจากอะไรที่ทุกท่านคิดว่ามีอิทธิพลที่สุดครับ ติ๊กต่อก....ติ๊กต่อก... ผมขอเสนอ . . ‘เวลา’ ครับ . . “To achieve great things, two things are needed: a plan and not quite enough time.” ― Leonard Bernstein “การจะสร้างเรื่องยิ่งใหญ่ได้ เราต้องการสองสิ่ง...สิ่งแรกคือแผนงาน และสิ่งที่สองคือเวลาที่ไม่เพียงพอ” ดังนั้น ใครที่ได้งานมาพร้อมกับ deadline กระชั้นชิด แบบสั่งวันนี้จะเอาเมื่อวาน ขอให้มองแง่ดีว่า เราจะสร้างเรื่องยิ่งใหญ่กันแล้ว...หุ...หุ ................................................. ถึงจุดที่ต้องพักก่อน แต่ก่อนจบโพสต์นี้มีคำคมมาฝาก “เวลาบีบให้เราทำทุกสิ่งตามที่มันสั่ง.....และสุดท้ายก็เอาทุกสิ่งไปจากเรา” |
Vertical Divider
STORY TELLING PROJECT รวบรวมแนวคิดจากหนังสือ "ตั้งสติ ให้สตรอง.. อย่าไว้ใจสมองของคุณ" มาจับประเด็นกับเรื่องราวจริงที่ทุกคนอาจเจอได้ในชีวิตประจำวัน หรือแม้แต่เกิดกับตัวเอง เรื่องที่ 1 งานหนักไม่เคยทำให้ใครตาย...จริงดิ เรื่องที่ 2 ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น (นั้นไม่จริงเสมอไป) เรื่องที่ 3 นิทานก่อนนอน-ประตูและป่าแห่งความลังเล เรื่องที่ 4 วิ่งหายเจ็บใจ เรื่องที่ 5 อะไรที่ 'เติมไฟ' ให้เรา เรื่องที่ 6 อะไรที่ 'เติมไฟ' ให้เรา (ตอนที่ 2) เรื่องที่ 7 อะไรที่ 'เติมไฟ' ให้เรา (ตอนที่ 3) เรื่องที่ 8 ปัญหาของความ 'ไม่เครียด' เรื่องที่ 9 เรามาถึงจุดนี้ได้ไง เรื่องที่ 10 อัจฉริยะ กับ ความบ้า เรื่องที่ 11 แก้ความเครียดด้วย WTF เรื่องที่ 12 ด้านลบ ของการ 'คิดบวก' เรื่องที่ 13 ปัญหาชีวิต แก้ด้วยการ 'คิดลบ' เรื่องที่ 14 'ชอลิ้วเฮียง' ในมุมที่ไม่เคยคิดถึง เรื่องที่ 15 Keystone Habits:วันนี้คุณทำกุศลหรือยัง แล้วติตตาม update กันเรืื่อยๆ นะครับ |