ปัญหาชีวิต แก้ด้วยการ ‘คิดลบ’ (ก็ได้นะ)
ทุกวันนี้เราอยู่ในกระแสคำแนะนำให้ ‘คิดบวก’ “คุณต้องตื่นขึ้นมาทุกเช้าและบอกตัวเองว่าคุณสามารถทำได้” “การคิดบวกคือเคล็ดลับของทุกความสำเร็จ” "จงอยู่ให้ห่างคนคิดลบ" ฯลฯ ทำไมถึงต้องมีคนมาบอกให้เราฝึกคิดบวก?? นั่นก็เพราะว่า เราไม่ต้องฝึกคิดลบ เรามีแนวโน้มที่จะคิดลบอยู่แล้วโดยธรรมชาติ อันเนื่องมาจากแรงผลักดันที่สำคัญที่สุดของการเป็นสิ่งมีชีวิต นั่นก็คือ ‘การมีชีวิตรอด’ แรงผลักดันของความต้องการอยู่รอดทำให้เราระแวดระวังและมองสิ่งต่างๆ รอบตัวโดยคาดว่ามันอาจจะมีอันตรายเอาไว้ก่อน สมองของเราจึงไวต่อเรื่องร้ายมากกว่าเรื่องดี ลองนึกดูว่า วันๆ หนึ่งเราอาจมีโอกาสเจอเรื่องดีๆ มากมาย แต่เรื่องร้ายเพียงเรื่องเดียวก็สามารถกลบเรื่องดีๆ ทั้งหมดไปได้ ดังนั้นการคิดด้านบวกจึงเป็นทักษะที่ควรค่าต่อการฝึกฝนปฏิบัติ แต่ทั้งนี้ การ ‘คิดบวก’ คงไม่ใช่แค่คิดแล้วสบายใจ หายเครียด แต่คงต้องมีองค์ประกอบสำคัญคือ ‘การพัฒนา’ ประกอบอยู่ด้วย การคิดบวกเพื่อความสบายใจแต่ทำให้เรามองข้ามจุดอ่อนของตัวเอง อาจนำไปสู่การพอใจในสภาพปัจจุบันจนมองไม่เห็นจุดที่ถ้าเปลี่ยนแล้วจะทำให้ชีวิตดีขึ้น แบบนั้นไม่ใช่คิดบวก แต่เป็น 'โลกสวย' (แบบที่เราพูดถึง Positive Illusions ในตอนที่แล้ว) การมองทุกสถานการณ์ในด้านบวกอย่างเดียวเมื่อเจอกับอุปสรรคขึ้นมาจริงๆ อาจแก้ไขไม่ทัน เพราะมัวแต่ส่องกระจกบอกตัวเอง มโนไปว่า “ฉันต้องทำได้ ทุกอย่างต้องราบรื่น ชีวิตต้องไม่มีปัญหา” ในทางกลับกัน...การ ‘คิดลบ’ ทำให้เกิดความเครียดก็จริง แต่ถ้าความเครียดนั้นทำให้เกิด โฟกัส ความตั้งใจ ความมุ่งมั่น และนำไปสู่การมีชีวิตที่ดีขึ้น หรือการมองสถานการณ์ในแง่ลบทำให้พยายามหาทางป้องกัน ก็คงบอกได้ไม่เต็มปากว่าการคิดลบแบบนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่ใช่แค่นั้น....บางทีลบธรรมดาไม่พอ ยังต้องคิดให้ลบสุดๆ ไปเลยถึงจะดี .................................................... เดล คาร์เนกี้ นักเขียนชื่อดังได้แนะนำให้จินตนาการถึง ‘สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด’ (Worst Case Scenario) ไว้ในหนังสือขายดีตลอดกาลของเขาเรื่อง How to Stop Worrying and Start Living หรือในชื่อไทยว่า ‘วิธีชนะทุกข์และสร้างสุข’ “ Worst Case Scenario เป็นหนึ่งในหลายๆ วิธีที่ช่วยให้คนที่วิตกกังวลมากเกินไป ได้ลดความกังวลลงบ้าง ดูเหมือนเป็นแนวคิดที่แปลก คนกำลังวิตกกังวลดันให้จินตนาการถึงเรื่องร้ายๆ ร้ายไม่พอ ต้องร้ายสุดๆ ด้วย เหตุผลเบื้องหลังเรื่องนี้ก็คือเมื่อเรานึกถึงว่าเรื่องที่กำลังกังวลอยู่นี้ในระดับเลวร้ายที่สุด ดูว่ามันจะร้ายซักแค่ไหนกันเชียว ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะพบว่ามันก็ไม่เท่าไหร่หรอก เรื่องที่ดูเหมือนจะหนักหนาสาหัส ทำเรากังวลกินไม่ได้นอนไม่หลับ เอาเข้าจริงแล้วแม้ผลที่เลวร้ายที่สุดของมันก็พอรับได้แทบทั้งนั้น ความกังวลส่วนใหญ่จึงมักเป็นเรื่องที่คิดไปเอง นอกจากนั้นการคิดถึงเรื่องที่เลวร้ายยังทำให้สมองของเราไม่เซอร์ไพรส์กับเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นมาจริงๆ อีกด้วย ในแวดวงธุรกิจ Worst Case Scenario ก็เป็นวิธีที่ใช้กันแพร่หลายในการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) คำแนะนำให้คิดถึงเรื่องร้ายสุดๆ แบบ Worst Case Scenario ถ้าดูผิวเผินก็น่าจะเข้าข่าย ‘คิดลบ’ แต่จริงๆ มันยังไม่จบแค่นี้ เรายังมีหน้าที่จัดการกับเรื่องลบๆ พวกนั้นอีก รวมแล้วมี 4 ขั้นตอน …………………………………… |
Vertical Divider
STORY TELLING PROJECT
รวบรวมแนวคิดจากหนังสือ "ตั้งสติ ให้สตรอง.. อย่าไว้ใจสมองของคุณ" มาจับประเด็นกับเรื่องราวจริงที่ทุกคนอาจเจอได้ในชีวิตประจำวัน หรือแม้แต่เกิดกับตัวเอง เรื่องที่ 1 งานหนักไม่เคยทำให้ใครตาย...จริงดิ เรื่องที่ 2 ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น (นั้นไม่จริงเสมอไป) เรื่องที่ 3 นิทานก่อนนอน-ประตูและป่าแห่งความลังเล เรื่องที่ 4 วิ่งหายเจ็บใจ เรื่องที่ 5 อะไรที่ 'เติมไฟ' ให้เรา เรื่องที่ 6 อะไรที่ 'เติมไฟ' ให้เรา (ตอนที่ 2) เรื่องที่ 7 อะไรที่ 'เติมไฟ' ให้เรา (ตอนที่ 3) เรื่องที่ 8 ปัญหาของความ 'ไม่เครียด' เรื่องที่ 9 เรามาถึงจุดนี้ได้ไง เรื่องที่ 10 อัจฉริยะ กับ ความบ้า เรื่องที่ 11 แก้ความเครียดด้วย WTF เรื่องที่ 12 ด้านลบ ของการ 'คิดบวก' เรื่องที่ 13 ปัญหาชีวิต แก้ด้วยการ 'คิดลบ' เรื่องที่ 14 'ชอลิ้วเฮียง' ในมุมที่ไม่เคยคิดถึง เรื่องที่ 15 Keystone Habits:วันนี้คุณทำกุศลหรือยัง แล้วติตตาม update กันเรืื่อยๆ นะครับ |
ขั้นที่ 1 ยอมรับด้านมืด (Embrace the Dark Side)
ขั้นตอนนี้คือการระบุปัญหาให้ชัด นั่นก็เพราะ ปัญหาไม่สามารถแก้ได้ด้วยการคิดว่าไม่มีปัญหา การรู้ว่าปัญหาคืออะไรต่างหาก ถึงจะแก้ปัญหาได้ Worst Case Scenario ก็ทำในขั้นตอนนี้ |
Vertical Divider
|
ขั้นที่ 2 สำรวจด้านมืด (Explore the Dark Side) ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนมีที่มา เมื่อระบุปัญหาได้แล้วลองทำตัวเป็นนักสืบ นักสำรวจ ว่าให้เจ้าปัญหานี้น่ะ มันมีสาเหตุจากอะไรหนอ และจะมีวิธีแก้อย่างไร ขั้นนี้เราใช้ทักษะด้านการคิดที่หลากหลายหน่อย (ซัก10 วิธีได้) |
Vertical Divider
|
ขั้นที่ 3 ตั้งเป้าหมายและกำหนดเส้นทาง (Envision the Bright Side) ได้เวลาให้คิดบวกกันแล้ว เราคงแก้ปัญหาไม่ได้ถ้าไม่รู้ว่าเป้าหมายที่อยากให้เป็นคืออะไรกันแน่ ดังนั้น ต้องเห็นภาพให้ได้ชัดเจนก่อนว่า เป้าหมายคืออะไร สภาพของการไม่มีปัญหา มันคือสภาพแบบไหน และที่สำคัญคือจะแก้ปัญหาเพื่อไปให้ถึงจุดนั้นได้อย่างไร ขั้นนี้เราใช้ทักษะของการ ตั้งเป้า (Goal Setting) การแก้ปัญหา (Problem Solving) และการวางแผน (Planning) |
Vertical Divider
|
ขั้นที่ 4 ออกไปสู่แสงสว่าง (Exit to the Bright Side) พอเรารู้แล้วว่าปัญหาคืออะไร มีที่มาจากไหน เราอยากให้เป็นแบบไหน และจะไปถึงได้ยังไง ตอนที่ยากที่สุดมาถึงแล้วเพราะเป็นขั้น Execution ต้องออกแรงกันจริงๆ จังๆ เรามีเป้าหมายและแผนการเดินทางจากขั้นที่ 3 ถึงขั้นนี้ ก็คือจัดการทำซะ Just Do It |
Vertical Divider
|
4 ขั้นตอนที่ว่ามา แกล้งใช้คำแปลกๆ ไปงั้นแหละ
จริงๆ แล้ว มันมีที่มาจาก
ทุกข์ – สมุทัย – นิโรธ – มรรค
คงพอเชื่อได้นะว่าสูตรนี้แก้ปัญหาได้จริง ไม่ได้มโน