อ่านๆ ข่าวอยู่ ไปปิ๊งชื่อกลุ่มนักวิ่งกลุ่มหนึ่ง เค้าใช้ชื่อว่า “วิ่งหายเจ็บใจ” เป็นไง...ฟังชื่อแล้วอยากเข้าร่วมป่ะล่ะ ถ้าชื่อกลุ่มยังปิ๊งไม่พอ...ก็มารู้จักกับแกนนำกลุ่มดีกว่า หลังจากรู้จักแล้ว คงสร้างแรงบันตาลใจให้กับหลายๆ คน ได้ดีทีเดียว ………………………………….. อันนี้ตัดเนื้อหามาจาก Marsmag วันที่ 25 มิ.ย. 2562 “เอ-ปทุมมาศ จัดแจง’ เธอคือสาวสวย อดีตนางแบบสุดเซ็กซี่ ผู้เคยอยู่ในโลกสีหม่นทึมของ ‘โรคซึมเศร้า’ จากปัญหาชีวิตและการงาน ถึงขั้นเคยคิดฆ่าตัวตายมาแล้ว 3 ครั้ง! เคยรักษาด้วยการกินยาเป็นวันละกำมือ ก่อนจิตแพทย์จะแนะนำให้เธอออกกำลังกาย นั่นเป็นที่มาให้เธอเลือกที่จะออกกำลังกายอย่างง่ายๆ ด้วยการวิ่ง หลายเดือนผ่านไป เธอพบว่าการวิ่งทำให้สภาพจิตใจและร่างกายของเธอดีขึ้น และกลายเป็นที่มาของโครงการ ‘วิ่งหายเจ็บใจ’ มีสโลแกน 'Run More Worry Less ออกมาวิ่ง แล้วชีวิตคุณจะดีขึ้น' ถือเป็นโครงการและพื้นที่เล็กๆ สำหรับผู้เคยผ่านห้วงเวลาทึมๆ และโลกสีหม่น แลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน เรียกว่า ‘นางฟ้านักวิ่ง’ จริงๆ” ……………………………………… วิ่งแล้วหายเจ็บใจได้เหรอ?? ก็พอรู้อยู่หรอกนะว่าการวิ่งทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่ว่าจะเสริมสร้างกล้ามเนื้อที่ใช้วิ่ง (วิ่งครั้งแรกนี่ปวดขาไปหลายวัน) ช่วยเรื่องระบบหมุนเวียนโลหิต (Cardiovascular System) หรือที่เรียกกันว่า 'คาร์ดิโอ' ซึ่งหลักๆ ก็คือ หัวใจ ปอด เส้นเลือด และอื่นๆ อีกมากมาย แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องจิตใจล่ะ?? ถ้างั้นขอวิชาการซักหน่อย ทฤษฎีของการบำบัดทางจิตแบบ Cognitive Behavioral Therapy เรียกย่อๆ ว่า CBT ซึ่งเป็นวิธีที่แพร่หลายมากที่สุดวิธีหนึ่ง บอกเอาไว้ว่า ความคิด-อารมณ์-พฤติกรรม-ร่างกาย มีความเชื่อมโยงถึงกันหมด ทำให้การเปลี่ยนแปลงของจุดหนึ่งจะส่งผลไปยังจุดอื่นๆ ด้วย วิธีการบำบัดทางจิตตามทฤษฎีนี้จะเน้นการปรับความคิดและพฤติกรรม อันเป็นที่มาของชื่อ Cognitive + Behavioral โดยที่ตัวเอกก็คือ ‘การปรับความคิด’ หลักของมันง่ายๆก็คือการเอาความคิดที่เหมาะสมมาแทนที่ความคิดเดิมที่เป็นปัญหา แล้วอารมณ์และพฤติกรรมก็จะถูกแก้ไข หลักการน่ะฟังดูง่าย แต่ทำจริงยาก!!! (ไม่งั้นจะมีนักจิตวิทยาไปทำไมเนอะ) เป็นเพราะเราต้องเริ่มท้าทายความคิดเดิมของเราให้ได้ซะก่อน นั่นก็คือการตั้งคำถามต่อความคิดที่เป็นปัญหา คำถามที่ว่าได้แก่
จะว่าไป...การที่เราจะท้าทายความคิดเดิมของเราเป็นเรื่องที่ยาก (มากกกก.......) เพราะโดยอัตโนมัติ เรามักจะหาเหตุผลมาเข้าข้างตัวเองว่าเราถูก มากกว่าที่จะหาเรื่องมาพิสูจน์ว่าเราผิด ซึ่งมันก็คงจะไม่ได้แย่อะไรถ้าความคิดนั้นทำให้เรามีความสุขดีอยู่ แต่ถ้าความคิดไม่ได้ทำให้เรามีความสุข...เราก็ต้องเริ่มที่จะเปลี่ยนมันได้แล้ว ถ้าพูดถึงตามหลักพุทธศาสนาการปรับความคิดก็คือการเอาหลักของ ‘โยนิโสมนสิการ’ มาใช้นั่นเอง (มีเรื่องยาวให้เล่าอีกเรื่องและ) …………………………………….. ยังไม่เข้าเรื่องวิ่งซะที?? เอาน่ะ...มันเกี่ยวข้องกัน จากที่เล่าเอาไว้ข้างต้นว่าหลัก CBT คือการปรับจุดใดจุดหนึ่งใน ความคิด-อารมณ์-พฤติกรรม-ร่างกาย แล้วจะส่งผลไปยังจุดอื่นๆ ได้ด้วย หลักๆ คือ ปรับความคิด เพื่อเปลี่ยนอารมณ์ แต่ถ้าการปรับความคิดมันยาก เรามีตัวช่วยที่ง่ายกว่า นั่นคือ การปรับ ‘พฤติกรรม’ และ ‘ร่างกาย’ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและร่างกาย สามารถส่งผลไปถึงความคิดและอารมณ์ได้เช่นเดียวกัน แม้ความยั่งยืนของผลลัพธ์จะสู้การปรับความคิดไม่ได้ แต่ถือเป็นตัวช่วยที่ดี เช่น ‘ซึมเศร้า’ เป็นอาการในกลุ่ม ‘อยู่นิ่ง (Inactive)’ หมายความว่าอาการนี้ทำให้เราซึม ไม่อยากทำอะไร ไม่อยากขยับเขยื้อนร่างกาย ไม่อยากจะเจอหน้าใคร ไม่มีแก่ใจพบคน..... การบำบัดด้วย CBT จึงมีการวางตารางกิจกรรมประจำวัน ให้มีความ active มากขึ้น อย่างเช่น ให้ออกกำลังกาย เล่นกีฬา พบปะพูดคุยกับคนอื่น ทำกิจกรรมสังคม บลา..บลา...บลา แบบที่คุณหมอแนะนำให้คุณเอ ‘วิ่งหายเจ็บใจ’ น่ะแหละ พูดง่ายๆ ก็คือบังคับร่างกายให้ทำในทางตรงข้ามกับที่อารมณ์สั่งให้ทำนั่นเอง พอร่างกายต่อต้านอารมณ์ (ด้วยความพยายามที่มากพอ) ในที่สุดอารมณ์ก็ยอมแพ้ เช่น อารมณ์ซึมเศร้า สั่งให้ร่างกายอยู่เฉยๆ แต่เราดันไปวิ่ง อารมณ์ก็เลยชักไม่แน่ใจตัวเองว่า “เอ...นี่เรากำลังซึมอยู่ไม่ใช่เหรอ???” สุดท้ายก็ ‘เออ...ไม่ซึมก็ได้วะ’ นี่เป็นหนึ่งในกลไกที่เราสามารถใช้พฤติกรรมและร่างกายปรับอารมณ์ได้ โดยเบื้องหลังกลไกนี้มีเรื่องของการเสริมสร้างเซลล์ประสาทซึ่งเป็นเรื่องซับซ้อนอยู่ แต่ก็มีตัวสำคัญตัวหนึ่งที่น่าจะพอเข้าถึงได้ไม่ยากนักคือเรื่อง ‘ฮอร์โมน’ อารมณ์ของคนเรามีผลมาจากสารเคมีในร่างกายที่เรียกว่า ‘ฮอร์โมน’ มีฮอร์โมนที่ทำให้เราเศร้ามั๊ย...ไม่มีหรอก.. แต่เราเศร้าเพราะฮอร์โมนแห่งความสุขลดลง เมื่อความเศร้าเกิดจากฮอร์โมนความสุขลดลง เราก็หาทางเพิ่มมันสิ!!! ฮอร์โมนแห่งความสุขที่ว่าประกอบไปด้วยตัวหลักๆ Big 4 คือ โดพามีน ออกซิโทซิน เซโรโทนิน และเอนดอร์ฟิน แต่ละตัวเป็นความสุขคนละแบบ ผสมๆ เหมือนค๊อกเทล กลายเป็นอารมณ์หลากหลาย ยาแก้โรคซึมเศร้า (Antidepressant) ก็ยุ่งๆ อยู่กับฮอร์โมนพวกนี้แหละ และ.....การออกกำลังกายก็มีผลต่อฮอร์โมนเหมือนกัน คุ้นๆ มั๊ยว่า “การออกกำลังกายในระดับที่เหมาะสมช่วยให้ร่างกายหลั่ง เอนดอร์ฟิน” เอนดอร์ฟิน คือ ฮอร์โมนแห่งความ 'ฟิน' ถ้าเป็นแบบนั้น น่าจะพอเดาออกแล้วสินะ ว่าทำไมถึง ‘วิ่งหายเจ็บใจ’ เอ้อ..อยากจะหมายเหตุไว้นิดนึงว่าในตอนนี้มีการใช้คำว่า 'ซึมเศร้า/เศร้า' ปนๆ กันยังไงอยู่ จริงๆ มันไม่เหมือนกันนะ' แต่ขอยกเป็นตอนต่อไปละกัน ................................................................ Story by : Saksit Sathanapong, Ph.D. (Counseling Psychology) Further reading https://www.psycom.net/depression-definition-dsm-5-diagnostic-criteria/ https://www.health.harvard.edu/mind-and-mood/exercise-is-an-all-natural-treatment-to-fight-depression https://www.runnersworld.com/health-injuries/a18807336/running-anxiety-depression/
0 Comments
Leave a Reply. |
AuthorSaksit Sathanapong, Ph.D. ArchivesCategoriesSTORY TELLING PROJECT รวบรวมแนวคิดจากหนังสือ "ตั้งสติ ให้สตรอง..อย่าไว้ใจสมองของคุณ" มาจับประเด็นกับเรื่องราวจริงที่ทุกคนอาจเจอได้ในชีวิตประจำวัน หรือแม้แต่เกิดกับตัวเอง เรื่องที่ 1 งานหนักไม่เคยทำให้ใครตาย...จริงดิ เรื่องที่ 2 ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น (นั้นไม่จริงเสมอไป) เรื่องที่ 3 นิทานก่อนนอน-ประตูและป่าแห่งความลังเล เรื่องที่ 4 วิ่งหายเจ็บใจ เรื่องที 5 อะไรที่ 'เติมไฟ' ให้เรา เรืองที่ 6 อะไรที่ 'เติมไฟ' ให้เรา (ตอนที่ 2) เรื่องที่ 7 อะไรที่ 'เติมไฟ' ให้เรา (ตอนที่ 3) เรื่องที่ 8 ปัญหาของความ 'ไม่เครียด' เรื่องที่ 9 เรามาถึงจุดนี้ได้ไง เรื่องที่ 10 อัจฉริยะ กับ ความบ้า เรื่องที่ 11 แก้ความเครียดด้วย WTF เรื่องที่ 12 ด้านลบ ของการ 'คิดบวก' เรื่องที่ 13 ปัญหาชีวิต แก้ด้วยการ 'คิดลบ' เรื่องที่ 14 'ชอลิ้วเฮียง' ในมุมที่ไม่เคยคิดถึง เรื่องที่ 15 Keystone Habits:วันนี้คุณทำกุศลหรือยัง แล้วติตตาม update กันเรืื่อยๆ นะครับ |