อะไรที่ 'เติมไฟ' ให้เรา (ตอนที่ 2)
ปี 2018 ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสเข้าใกล้งานศิลปะมากที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ และเป็นการเปลี่ยนวิธีการมองศิลปะของผมไปโดยสิ้นเชิง โดยมีจุดพลิกผันจากการเข้าชมพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งหนึ่งที่เขาใหญ่ ในช่วงปีใหม่ 2018 วันนั้นนอกจากผมกับภรรยาแล้วไม่มีผู้เข้าชมคนอื่นเลย น้องผู้ดูแลเธอจึงพาเราชมแบบเอ๊กซ์คลูซีฟ อธิบายงานศิลปะแต่ละชิ้น ทั้งเบื้องหน้า เบื้องหลัง จนถึงประสบการณ์ เรื่องราวชีวิตของศิลปินแต่ละท่านอย่างตั้งอกตั้งใจ เราเดินชมงานศิลปะซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาพเขียนของศิลปินผู้มีชื่อเสียงชาวไทย (ที่ส่วนมากเคยได้ยินแต่ชื่อ ไม่เคยเห็นผลงานท่านเหล่านั้นเลย) เวลา 2 ชั่วโมง ในการ ‘เดิน’ ชมผลงานผ่านไปแบบไม่รู้ว่าเร็วขนาดนั้นได้ยังไง แต่หลังจากออกมาก็เมื่อยขามากกกก..... ผมมองภาพเขียนเหล่านั้นโดยที่ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่กับที่ว่าเป็นภาพแนวไหน ใช้เทคนิคอะไร แต่รู้ได้เลยว่าจะรู้สึก ‘อิน’ มากขึ้นเมื่อได้รู้ว่า ‘ข้างหลังภาพ’ นั้นมีความเป็นมายังไง ศิลปินมี ‘สตอรี่’ หรือแรงจูงใจอะไรในการสร้างผลงานชิ้นนั้น หลังจากนั้น เวลาผมดูงานศิลปะ ก็มักจะพยายามหา 'สตอรี่' เบื้องหลังภาพก่อน ถ้าหาไม่ได้ก็ตีความเอาเองจากภาพ สงสัยจะเป็นวิญญาณนักจิตวิทยา เอะอะก็มองหาแรงจูงใจก่อนเลย ซึ่งเรื่องแรงจูงใจนี่แหละที่เป็นประเด็นหลักของโพสนี้ ………….............................. Why do we do what we do?? ทำไมเราถึงทำสิ่งที่เราทำ?? มาถึงเรื่องที่ค้างไว้จากโพสที่แล้วว่าจะมีแบบประเมินมาฝาก แต่ก่อนจะประเมิน ลองเลือกกิจกรรมมาซัก 3-4 อย่าง จะเป็นงานราษฎร์ งานหลวงได้หมด เช่น เล่นดนตรี (ระบุเครื่องดนตรี) เล่นกีฬา (ระบุกีฬา) เลี้ยงสัตว์ เล่นเกม ขายสินค้า ทำรายงาน นำเสนองานในที่ประชุม ฯลฯ เป็นเรื่องที่ทำอยู่แล้ว เคยทำ หรือยังไม่ได้ทำ ก็ได้ ได้แล้วก็มาประเมินกันเลย คำถามแค่ 4 ข้อ ข้อแรก “คุณใส่ใจกับสิ่งนี้แค่ไหน” ให้คะแนน 1 – 5 1 = ไม่อยากทำ 2 = อยากทำ 3 = ทำอย่างจริงจัง 4 = ไม่ล้มเลิกแม้มีอุปสรรค 5 = ทุ่มเทเพื่อพัฒนาให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป ข้อที่สอง “คุณมีความสามารถแค่ไหนในการทำสิ่งนี้” 1 = ทำไม่เป็นเลย 2 = ทำได้ในระดับเบื้องต้น 3 = ทำได้ในระดับมาตรฐาน 4 = ทำได้ในระดับผู้เชี่ยวชาญ 5 = อยู่ในกลุ่มผู้เป็นเลิศทางด้านนี้ ข้อที่สาม “คุณได้รับคุณค่าอะไรตอบแทน (ที่ไม่เป็นตัวเงิน)” 1 = ไม่มี 2 = ความสนุกเพลิดเพลิน 3 = ความสำเร็จตามหน้าที่ 4 = ได้เรียนรู้และพัฒนาตนเอง 5 = ภาคภูมิใจที่ได้ทำสิ่งที่มีคุณค่าและมีความหมาย ข้อที่สี่ “คุณได้รับผลตอบแทนที่เป็นตัวเงิน (หรือแปลงเป็นเงินได้) เท่าไหร่” 1 = ไม่มี 2 = มูลค่าต่ำ 3 = มูลค่าปานกลาง 4 = มูลค่าสูง 5 = มูลค่าสูงมาก เสร็จแล้วมาลองดูคะแนนกันครับ แต่แบบประเมินนี้ไม่เหมือนแบบประเมินทั่วไปคือเราไม่ดูคะแนนรวมครับ จริงอยู่ว่าคะแนนรวมทำให้เห็นว่ากิจกรรมไหนสำคัญกับเรา แต่คะแนนแยกแต่ละข้อคือสิ่งที่เราสนใจมากกว่า เช่น ผมลองประเมินตัวเองในกิจกรรม "การเขียนหนังสือ" ได้คะแนนจากการประเมินคำถาม 4 ข้อ เป็น 3 - 4 - 4 - 3 หมายความว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องที่ผมทำอย่างจริงจัง ทำได้ระดับเชี่ยวชาญ ทำแล้วได้เรียนรู้พัฒนาตนเอง แถมได้ผลตอบแทนเป็นเงินด้วยแม้จะไม่ได้มากมายนัก แบบนี้ก็น่าจะทำต่อไป และพยายามทำให้ดีขึ้น ทีนี้ลองมาดูของคุณบ้าง มีใครได้คะแนนเรื่องไหน เป็น 5 – 5 – 5 – 5 ไหมครับ ถ้ามีผมขอฝากเนื้อฝากตัวไว้ก่อนเลย เพราะคะแนนหมายความว่า “คุณเกิดมาเพื่อสิ่งนี้” คุณไม่ต้องทำงานเลยตลอดชีวิต เพราะคุณตื่นมาทุกเช้าพร้อมพลังไฟเต็มเปี่ยม เพื่อทำสิ่งที่คุณรักและทุ่มเทอย่างสุดๆ โดยที่คุณมีความเชี่ยวชาญชำนาญขั้นเทพ สิ่งนั้นมีความหมายกับคุณอย่างมาก แถมยังทำเงินให้มหาศาล (สำหรับคนที่รู้จัก Ikigai คิดว่าอันนี้ใกล้เคียงนะครับ) คุณคงเป็นผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตด้านใดด้านหนึ่งอยู่แล้วแน่ๆ ผมนึกไปถึงศิลปินใหญ่ อย่าง อ.ถวัลย์ หรือ อ.เฉลิมชัย แบบนั้นเลย แล้วมีเรื่องไหนที่คะแนน 1 – 2 – 1 – 2 ไหมครับ คือเรื่ิองนั้นคุณไม่อยากทำเอาซะเลย ความสามารถแค่พอทำได้ ทำแล้วก็ไม่ได้สร้างคุณค่าทางใจอะไร แต่ก็ได้เงินตอบแทนนิดหน่อย (อย่าบอกนะว่าคืองานที่ทำเลี้ยงชีพอยู่ทุกวันนี้แหละ...แฮ่) แล้วคะแนน 1 – 1 – 5 – 1 ล่ะครับ ไม่อยากทำ ทำก็ไม่เป็น แต่ถ้าได้ทำจะภาคภูมิใจอย่างมากมาย ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้มีเงินตอบแทนอะไร จะมีเหรอแบบนั้น?? ใครพอนึกออกบ้าง?? ตรงนี้แหละครับที่่เรียกว่า "ออกนอก Comfort Zone" สำหรับผมนึกถึงตอนอยู่ชั้นประถมครับ น่าจะ ป.6 ผมเป็นเด็กเงียบๆ ออกแนวเรียบร้อย ที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องขึ้นเวทีโต้วาที แถมเป็นหัวหน้าทีมฝ่ายเสนอซะด้วย แปลว่าต้องพูดคนแรก ไม่มีใครคิดว่าผมจะทำได้เลยครับ โดยเฉพาะตัวผมเอง แต่เป็นคุณครูท่านหนึ่งที่ผลักผมขึ้นไป แล้วผมก็ได้พบตัวเองว่า ผมเป็นคนละคนเวลาที่อยู่บนเวที หลังจากวันนั้น ผมก็ไม่กลัวเวทีอีกเลย ดูดีๆ นะครับ เจ้าสิ่งที่เราไม่อยากทำ แต่เป็นสิ่งที่ช่วยให้เราได้เรียนรู้ มีคุณค่ามีความหมาย อาจเป็นสิ่งที่ช่วย 'เติมไฟ' ให้ได้ดีมากก็ได้ เพียงแค่เราเปิดใจที่จะลองทำมัน ท่าจะยาวครับ เพราะเรื่อง “เติมไฟ” ยังไม่จบ อย่างที่บอกไว้ตอนต้นว่า การประเมินนี้ใช้กับเรื่องที่เรายังไม่เคยทำก็ได้ ซึ่งนั่นน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนอนาคตด้วย ว่าเราควรจะ 'เริ่ม' ทำอะไร แต่คงต้องขอตัดตอนก่อน ก่อนจบโพสนี้ มีคำถามทิ้งท้ายไว้อีก 4 คำถามนะครับ ……………………………………… จริงเหรอที่เราต้อง ‘รัก’ สิ่งนั้นก่อน จึงจะเริ่มทำ? ถ้าเราไม่ได้รักสิ่งนั้น ทำไมเราถึงทำ? ส่วนใหญ่สิ่งที่เราทำนั้น..เป็นสิ่งที่เรา ‘อยากทำ’ หรือว่า ‘ควรทำ’? ทำไมเราถึงไม่ทำสิ่งที่เรา ‘อยากทำ’? แล้วพบกันตอนต่อไปครับ |
Vertical Divider
STORY TELLING PROJECT รวบรวมแนวคิดจากหนังสือ "ตั้งสติ ให้สตรอง.. อย่าไว้ใจสมองของคุณ" มาจับประเด็นกับเรื่องราวจริงที่ทุกคนอาจเจอได้ในชีวิตประจำวัน หรือแม้แต่เกิดกับตัวเอง เรื่องที่ 1 งานหนักไม่เคยทำให้ใครตาย...จริงดิ เรื่องที่ 2 ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น (นั้นไม่จริงเสมอไป) เรื่องที่ 3 นิทานก่อนนอน-ประตูและป่าแห่งความลังเล เรื่องที่ 4 วิ่งหายเจ็บใจ เรื่องที่ 5 อะไรที่ 'เติมไฟ' ให้เรา เรื่องที่ 6 อะไรที่ 'เติมไฟ' ให้เรา (ตอนที่ 2) เรื่องที่ 7 อะไรที่ 'เติมไฟ' ให้เรา (ตอนที่ 3) เรื่องที่ 8 ปัญหาของความ 'ไม่เครียด' เรื่องที่ 9 เรามาถึงจุดนี้ได้ไง เรื่องที่ 10 อัจฉริยะ กับ ความบ้า เรื่องที่ 11 แก้ความเครียดด้วย WTF เรื่องที่ 12 ด้านลบ ของการ 'คิดบวก' เรื่องที่ 13 ปัญหาชีวิต แก้ด้วยการ 'คิดลบ' เรื่องที่ 14 'ชอลิ้วเฮียง' ในมุมที่ไม่เคยคิดถึง เรื่องที่ 15 Keystone Habits:วันนี้คุณทำกุศลหรือยัง แล้วติตตาม update กันเรืื่อยๆ นะครับ |